YOH !

YOH!!! ขอให้อ่านให้สนุกน้า

อย่าลืมเมนท์ด้วยเน้อออ >3<

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

Some thought of mine

  ช่วงก่อนสอบ คุณครูวิทิตได้ให้บทความหนึ่งมาอ่านและให้เขียนแสดงความคิดเห็นต่อบทความนั้น แต่ด้วยความที่ยุ่งกับงานสอบและเตรียมงานนิทรรศการปลายภาค บวกกับความขี้เกียจตอนปิดเทอมที่อยากจะนอนตีพุงไปเรื่อยเปื่อยบ้าง จึงยังไม่ได้หยิบบทความนั้นขึ้นมาอ่านซักที
จนวันหนึ่ง(เมื่อไม่นานมานี้) นึกขึ้นได้จึงลุกขึ้นมาอ่านบทความ และเขียนวิเคราะห์บทความด้วย ยอมรับว่าเป็นบทความที่เขียนวิเคราะห์ยากมากกกก นั่งทำนานที่สุดเท่าที่เคยทำมา ทำไปปวดหัวไป  ก่ายหน้าผากไป กินขนมไป (เฮ้ย!! ไม่ใช่ล่ะ!!) แต่ในที่สุดก็เสร็จแล้ว และออกมาสู่สายตาประชาชนเสียที
 ทีแรกไม่ได้คิดจะเอาบทความนี้ลงบล็อก แต่คุณครูหยก ซึ่งได้อ่านบทความนี้ ได้บอกว่าเอาลงด้วยก็ดี เราก็ยังไม่ค่อยอยากเอาลง ในที่สุดเมื่อหาเหตุผลมาอ้างไม่ได้ บวกกับไม่รู้ว่าจะไม่ยอมเอาลงทำไมน้า~
ในที่สุดก็เอาลงบล็อก...
เชิญชมได้แล้วครับ !! (ขอเสียงปรบมือด้วยนะคะ 555 +)

ป.ล. ขอขอบพระคุณคุณครูวิทิต ที่เมตตาให้โอกาสให้เขียนบทความนี้
        ขอขอบพระคุณพระอาจารย์ชยสาโร คุณพ่อคุณแม่ และคุณครูทุกๆท่านที่ได้บ่มเพาะขัดเกลามาตั้งแต่เด็กจนโต
        ทำให้บทความนี้สำเร็จลงด้วยดี(มั้ง)
        ขอขอบพระคุณโรงเรียนทอสีและปัญญาประทีป ที่เป็นต้นทุนชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของเรา
        ขอขอบคุณเพื่อนๆน้องๆพี่ๆญาติๆ ที่เป็นกำลังใจ อยู่กับเราตลอดเวลาทั้งสุขและทุกข์ มำให้ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ซึ่งเป็น
        ข้อมูลดิบที่สำคัญสำหรับบทความนี้..
                               ขอบคุณอย่างแรงค่ะ!!!



บทวิเคราะห์บทความ "คุณธรรมนำไทยให้ล่มจม"
จากที่ได้อ่านบทความนี้แล้ว เห็นด้วยในบางประเด็น แต่ก็ไม่เห็นด้วยในหลายๆ ประเด็นเช่นกัน ซึ่งงานวิเคราะห์ชิ้นนี้จะไม่ใช่งานตัดสินว่าใครถูกใครผิด แต่เป็นการเขียนแสดงทรรศนะตามความเห็นของข้าพเจ้า ในฐานะเด็กคนหนึ่งและในฐานะผู้ที่เคยไปสัมผัสเครือข่ายคนกินข้าวแล้วเท่านั้น
ในประเด็นแรก ข้าพเจ้ามีความเห็นโดยภาพรวมต่อบทความนี้ว่า เป็นบทความหนึ่งที่เหมือนบทความทั่วๆไป คือ แสดงทรรศนะความเห็นของตนต่อประเด็นต่างๆ ซึ่งไม่ผิด คนเราไม่มีใครคิดได้เหมือนกันอยู่แล้ว ต่างฝ่ายต่างก็มีความเห็นของตนและสามารถแสดงออกมาได้ภายใต้กรอบที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย คือ การเขียนแสดงความคิดของตนนั้น  ไม่ควรใช้ถ้อยคำหยาบคายและรุนแรง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลย เราสามารถเลือกใช้ถ้อยคำอื่นที่สามารถแสดงความคิดของตนได้ มากกว่าผสมคำที่ไม่เหมาะสมลงไปในบทความด้วย และเรามีสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วยได้ แต่ยังไม่จำเป็นต้องว่าหรือตัดสินตามความคิดของตน
ในประเด็นต่อมา ข้าพเจ้าคิดว่าปัญหาความยากจน ไม่ว่าจะเป็นของชาวนา หรือ ของใครก็ตาม ทางออกไม่ได้อยู่ที่การมี  เงินเยอะๆ แต่มันอยู่ที่ว่า เรามีความรู้จักพอหรือเปล่า เพราะตราบใดที่เรามีเงินเยอะแล้ว แต่เราไม่รู้จักคำว่าพอสักที เราก็ยังคงจนไม่รู้จบ เช่น เศรษฐีเงินล้าน เขามีเงินเยอะนะ แต่เขาไม่รู้จักพอ คนอื่นมองว่าเขารวย แต่เขาก็ยังคิดว่าเขาจนอยู่ดี เพราะเขาอยากๆๆๆๆๆๆๆ มีเท่าไหร่มันก็ไม่พอกับความต้องการของเขา และอีกประเด็นที่อยากจะชวนคิด คือ เงิน มันเป็นทุกอย่างของชีวิตจริงหรือ จริงอยู่ที่ทุกวันนี้เราขาดเงินไม่ได้แน่นอน เพราะวัตถุทุกอย่างมันก็ต้องใช้เงินซื้ออยู่แล้ว แต่มันมีอะไรรับประกันได้ละว่า ถ้าคุณมีเงินเพื่อมาซื้อสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้ว คุณจะมีความสุข??  เราไม่ได้ต้องการเงินหรอก แต่เราต้องการเงินเพื่อที่จะไปซื้อวัตถุมา เพื่อให้เกิด ความสุขต่างหาก ลองคิดดูว่ามีอะไรบ้างที่เงินซื้อไม่ได้ มันซื้อความสุขได้ไหม มันซื้อเวลาที่ผ่านไปได้หรือเปล่า มันซื้อความรักได้ไหม ถ้าซื้อได้ มันอยู่กับเราไปตลอดรึเปล่า??  ถ้าเราคิดดีๆ เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ทำไมบางครอบครัว ยากจน”(ในความหมายทั่วๆไป) แต่เขาก็ยังรักกัน มีความสุขดี แม้ว่าเขาจะจนเงินทองก็ตาม? ความจริงแล้วในโลกนี้มันยังมีอะไรที่สำคัญกว่าเงินมากมายนัก เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
ในเมื่อเงินไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต ทุนนิยมก็ไม่ใช่ทางออกของปัญหา  จะมีปะโยชน์อะไรถ้าเราแข่งขันกับคนอื่น แต่ปลายทางหรือแม้แต่ระหว่างทางที่ทำ เรากลับไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย
 คราวนี้ถ้าย้อนกลับมาดูชาวนาของเรา จริงอยู่ที่เราเห็นภาพชาวนาส่วนใหญ่ในประเทศยากจน  เป็นหนี้ไม่จบสิ้น แล้วทำไมเขาถึงยากจนล่ะ?? เพราะราคาของต่างๆที่เขาซื้อมาเพื่อบำรุงนามันแพงใช่ไหม แล้วของเหล่านั้นมันจำเป็นจริงหรือเปล่า ทำไมเราต้องซื้อมันมา เมื่อก่อนเราต้องซื้อหรือเปล่า มันมีทางอื่นไหมที่เราทำได้นอกจากซื้อๆๆๆๆของเหล่านี้ เคยมีใครตั้งคำถามเหล่านี้ไหม? ความจริงของเหล่านี้มันไม่จำเป็นเลย ถ้าไม่ใช่ว่าเราเป็นชาวนาที่ต้องพึ่งตลาด คิดดูว่าเราปลูกข้าวซึ่งเป็นอาหารที่เรากินอยู่ทุกวัน แต่ทำไมเราปลูกตามความต้องการของเราไม่ได้ล่ะ?? เราต้องปลูกตามตลาด ตลาดต้องการอย่างไร เราก็ปลูกไปตามนั้น ยิ่งตลาดต้องการมาก เราก็ยิ่งต้องปลูกมาก  ใช้ปุ๋ยใช้เครื่องจักรอะไรต่างๆเพิ่มขึ้น เงินไม่พอต้องไปกู้ไม่จบสิ้น สุดท้ายไม่ใช่เสียแค่เรา แต่มันรวนทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ตัวชาวนาที่เป็นหนี้ ผู้บริโภคก็เสียไปด้วยเพราะกินข้าวที่โตด้วยสารพิษเพื่อเร่งผลิตให้ทัน สุดท้ายมันก็กระทบไปถึงระบบนิเวศ เราใส่ปุ๋ยใส่ยา ฆ่ากุ้งหอยปูปลามากเท่าไหร่  แทนที่ที่นั้นๆจะอุดมสมบูรณ์ขึ้น พื้นที่นั้นก็เสียไปด้วยเพราะได้รับสารเคมี ดินแห้ง พืชผักตายเกลี้ยง ฯลฯ แล้วจะทำนาได้อย่างไร ในเมื่อพื้นที่เป็นเช่นนี้
เวลามองอะไรให้มองยาวๆ บางทีมองสั้นๆมันดูดี แต่ถ้ามองยาวๆ โอ้โห!! มันผิดกันลิบลับเลย
สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากแบ่งปันจากการได้ไปสัมผัสระหว่างไปเข้าค่ายของเครือข่ายคนกินข้าว ทั้งค่ายดำนาและค่ายเกี่ยวข้าว  คือ ชาวนาเหล่านั้นก็เหมือนชาวนาทั่วๆไป บ้านก็ไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่ามากนัก แต่ในพื้นที่นั้นที่เป็นนาข้าวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา  เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ ต้นข้าวทุกต้นดูมีชีวิตชีวาไม่เหี่ยวแห้ง ท่ามกลางพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางนิเวศ และที่สำคัญ คือ เป็นพื้นที่ของชาวนาที่เต็มไปด้วยความสุขจริงๆ  เขาทำนาเพราะรักที่จะทำ ทำด้วยความสุข ไม่ได้ทำเพราะจำใจทำแต่อย่างใด  ทั้งสองค่ายนี้อาตุ๊หล่างและพ่อถาจะเป็นผู้นำสอนพวกเราชาวค่ายให้เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวนา ทั้งดำนา รู้จักสมุนไพรต่างๆ  ในค่ายแรก และในค่ายที่สอง พวกเราได้หัดเกี่ยวข้าวและคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวอีกด้วย ซี่งประสบการณ์จากทั้งสองค่ายของข้าพเจ้านั้น เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าอาชีพชาวนาไม่ใช่อาชีพต่ำต้อย แต่เป็นอาชีพที่ควรคารวะ การทำนาไม่ใช่ธุรกิจ แต่เป็นการทำนาเพื่อเอานา ทำเพราะรัก ทำเพราะอยากทำ ทำเพราะรู้ซึ้งถึงคุณค่าจริงๆ  การทำนาคือความสุข คือชีวิต และผืนนาคือบ้าน
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มั่งคั่งเรื่องเงินทอง แต่เขามั่งคั่งเรื่องอาหารซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องเงินทองเสียอีก ข้าวก็ได้จากนาของเขา พืชผัก ปลา ก็มาจากบริเวณบ้าน  เขามีทุกอย่าง พึ่งตัวเองได้อย่างไม่เดือดร้อน และที่สำคัญคือ เขามีความสุข
ดังนั้น ในความคิดของข้าพเจ้า วิถีของชาวนาที่นี่ไม่ได้จนเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะจนเงินทองในสายตาของคนทั่วๆไป แต่สำหรับข้าพเจ้า เขาไม่จนเรื่องของความสุข เรื่องของคุณธรรม มันเป็นวิถีที่คนอยู่อย่างเคารพเกื้อกูลต่อธรรมชาติ  เป็นวิถีที่แท้จริงของชาวนา วิถีที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน
เพราะอะไร เพราะแท้จริงแล้วบ้านของมนุษย์คือธรรมชาตินั่นเอง (ข้อความนี้คัดลอกจากข้อความของ ศ.นพ. ประเวศ วะสี)
ที่สำคัญ คือ เรื่องของคุณธรรม ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยังไม่ต้องพูดถึงชาวนาแต่ลองมองสังคมในปัจจุบันกันก่อน ที่มันมีปัญหาเป็นวงจรซ้ำเดิมไม่จบไม่สิ้นเพราะอะไร?? สาเหตุตื้นๆคือความโลภ ความโกรธ ความหลง ในตัวของคนเหล่านั้น แต่ลึกๆแล้วสาเหตุที่แท้จริงคือ ขาดคุณธรรม ต่อให้มีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากมาย ตามจับโจรผู้ร้ายได้หมด สุดท้ายมันก็แก้ที่ปลายเหตุอยู่ดี คือเอาเขาไปขังคุก แต่นิสัยเขาหายไหม แล้วถ้าเอาคนๆนี้ไปขังคุก เรื่องมันจะจบแค่ตรงนั้นหรือเปล่า แล้วจะไม่มีคนทำผิดอีกแล้วใช่ไหม? มันไม่ใช่ เพราะต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด คือ ขาดคุณธรรมลองยกตัวอย่างดูง่ายๆ ถ้าสมมติว่าเรากำลังอยากได้ของๆคนอื่น แต่เราห้ามการกระทำตัวเองไม่ให้ขโมยของๆเขาได้ นี่ก็ถือว่าเรามีคุณธรรมแล้วนะ แล้วคิดดู ถ้าเราห้ามตัวเองได้ไม่ให้คอรัปชั่นแม้ว่าคนอื่นจะทำก็เถอะ นี่ก็เป็นคุณธรรมเหมือนกัน
คุณธรรมจึงเป็นตัวสำคัญที่ทำให้ปัญหาทุกๆอย่างคลี่คลายลงไปได้ และเป็นสิ่งที่ทุกๆคนควรมี แม้กระทั่งชาวนา เพราะทุกๆอย่างล้วนเริ่มจากจุดเล็กๆ แล้วขยายสู่วงกว้างทั้งนั้น คุณธรรมของชาวนาก็เป็นจุดเล็กๆที่ว่านี้เช่นกัน
การจะทำอะไรสักอย่างให้ออกมาดีและบริสุทธิ์ จำต้องประกอบด้วยคุณธรรม เริ่มตั้งแต่คุณธรรมในตัวผู้ผลิตเอง   ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าหากชาวนามัวแต่เอาเวลาไปกินเหล้า ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคุณภาพชีวิตของตัวเอง ไม่รู้ว่าอะไรถูกผิด ควรไม่ควร แน่ใจหรือว่าเขาจะใส่ใจคุณภาพข้าวด้วย คราวนี้ มันก็กระทบทั้งตัวชาวนาและผู้บริโภคใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะทำอะไรให้มันดี ให้มันบริสุทธิ์ มันก็ต้องเริ่มที่เราพยายามทำให้ใจเราบริสุทธิ์ก่อน...
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมชาวนาต้องมีคุณธรรม และทำไมเราต้องมีคุณธรรม ซึ่งเป็นบทสรุปของทุกสิ่งทุกอย่าง
อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่าบทความนี้ไม่ได้ตัดสินว่าใครถูกผิด แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นตามทรรศนะของข้าพเจ้าเท่านั้น  ซึ่งก็หวังว่าท่านผู้อ่านคงได้รับประโยชน์จากบทความนี้บ้าง ไม่มากก็น้อย
 
ของแถมมมมมจ้า~
พระอาจารย์ชยสาโรได้ให้หลักการพูดไว้สี่ข้อ ดังนี้
1.เรื่องที่ไม่จริง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่พูด
2.เรื่องที่จริง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่พูด
3.เรื่องที่จริง เป็นประโยชน์ ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่พูด
4.เรื่องที่จริง เป็นประโยชน์ ถูกกาลเทศะ พูดได้ค่ะ !! (เย้ เงียบมาตั้งนาน)

สวัสดีมากๆค่ะ ><

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Final Examination ม.2จ้า

สวัสดีค่ะทุกๆคน วันนี้เราจะมาออกนอกเรื่องกันนิดหนึ่ง แต่เป็นการออกนอกเรื่องอย่างมีสาระ คือมาดูและทำปลายภาคชั้น ม. 2 วิชาคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายกัน โดยโจทย์มี 2 ส่วน คือ 1. มีคำถามอยู่ 10 ข้อ ให้เลือกตอบคำถาม 5 ข้อ และ 2. คุณครูให้ตัวอักษร "ฬ" มา ให้เราตั้งคำถามที่เชื่อมโยงกับตัว "ฬ" และตอบคำถามนั้นด้วย....  โอ้โห!!!! ฟังดูยากหรือง่ายกันน้า  อย่ารอช้า เรามาลองทำข้อสอบไปพร้อมๆกันเลยดีกว่า ข้อสอบนี้ไม่ต้องห่วงถูกผิด แต่ให้อธิบายความคิดของตนเองได้อย่างชัดเจน และสร้างสรรค์ พร้อมแล้ว... ไปกันเลย!!!

part 1 : เลือกตอบคำถาม 5 ข้อ

1. Q : อะไรคือ 2 สิ่งที่เพื่อนจำเป็นต้องแบ่งปันให้แก่คุณ เพราะอะไร
     A: อย่างแรกคือความไว้วางใจและเชื่อใจในกันและกัน เพราะหากเราอยู่กันด้วยความไม่เชื่อใจ ความหวาดระแวง แล้วเราจะอยู่ร่วมกันได้ไหม?? ซึ่งความไว้วางใจและไความเชื่อใจในกันและกันก็ไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่ต้องอาศัยวลา ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันพอสมควร กว่าจะเชื่อใจกันได้ ที่สำคัญคือต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และยอมรับความแตกต่างของกันและกันด้วย สิ่งนี้จะทำให้เราอยู่ร่วมกันได้ และเกิดเป็นความไว้วางใจกัน
           อย่างที่สองที่เพื่อนจำเป็นต้องแบ่งปันให้เราคือ กัลยาณมิตร เพราะเพื่อนที่ดีไม่ใช่เพียงแต่จะเป็นเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมุขกับเราได้ตลอดเวลาเท่านั้น แต่เพื่อนที่ดีต้องเป็น กัลยารมิตร ด้วย กัลยารมิตรคืออะไร??? กัลยาณมิตรคือผู้ที่กล้าที่จะชี้แนะข้อบกพร่องของเรา รวมทั้งช่วยเหลือให้เราพัฒนาตนให้เป็นคนที่ดีขึ้น งามขึ้น และน่ารักขึ้นด้วย กัลยาณมิตรจึงเป็นผุ้ที่ "กล้า" ที่จะพูดข้อเสียของเรา และเราควรขอบคุณที่เขาบอกเรา เราจะได้ปรับปรุงตัวเองต่อไป

2. Q: ถ้าโลกนี้จะเหลือวิชาให้เรียนแค่ 2 วิชา คุณอยากให้เหลือวิชาอะไร เพราะอะไร?
    A : วิชาแรกที่อยากให้เหลือ คือ พุทธศาสนา ที่ไม่ได้สอนแค่หลักธรรม แต่สอนให้เรานำหลักธรรมลงสู่การปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันด้วย เพราะในชีวิตของคนเราไม่สามารถใช้ชีวิตถูกทิศได้ถ้าขาดศีลธรรมกำกับ  เช่น หากเราไม่รู้ถูกผิด เราก็จะแยกไม่ออกว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ บางสิ่งทำไปแล้วมันจะเป็นผลเสียต่อใครไหม?? ชีวิตที่ฟหลงทิศเป็นชีวิตที่อันตจรายมาก เพราะเป็นชีวิตที่อยู่บนพื้นฐานของ "ความไม่รู้"  ทำให้ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรม คอรัปชั่น หรือความแตกแยก ฯลฯ ซึ่งสิ่งที่จะมาเป็นคำตอบในการแก้ปัญหาตรงนี้คือ "พระพุทธศาสนา"  ท่านได้ชี้แนะหมดแล้วว่า ชีวิตที่ดีงามเป็นเช่นไร การอยู่ร่วมกดันได้ต้องใช้ปัจจัยอะไรบ้าง อะไรเป็นสิ่งที่ควรทำและควรสร้างในชีวิต  ข้อธรรมจึงไม่ใช่แค่หลักธรรมหมวดต่างๆ แต่เป็นหลักธรรมที่นำลงสู่การปฏิบัติ เพื่อชีวิตที่ถูกทิศ
       อีกวิชาที่อยากให้มี คือ สังคมศึกษา เพราะเป็นวิชาที่ว่าด้วยการอยู่ร่วมกันในสังคม ทำอย่างไรให้เราคิดต่างกันแต่อยู่ร่วมกันได้ ทำอย่างไร ที่จะไม่ให้ปัญหาต่างๆเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก ทำอย่างไร ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมโดยไม่เบียดเบียนใคร ซึ่งวิชาสังคม ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มาตอบปัญหาตรงนี้
        สองวิชานี้จึงเป็นวิชาที่อยากให้เหลือ เพราะเป็นวิชาที่ว่าด้วย การมีชีวิตอยู่ ชีวิตที่ควรเป็น และการอยู่ร่วมกัน

3. Q: ถ้ามีหุ่นยนยต์ที่เหมือนมนุษย์ทุกประการเกิดขึ้นเป็นตัวแรก หุ่นนั้นควรเป็นหุ่นยนต์เด็ก หรือหุ่นยนต์ผุ้ใหญ่ หรือ  หุ่นยนต์คนแก่ เพราะอะไร
    A: ในความคิดของเรา หุ่นยนต์นั้นควรเป็นหุ่นยนต์เด็ก เพราะเด็กคือผู้ที่จะเป็นผู้ใหย่ในอนาคต เราจึงควรบ่มเพาะเขาตั้งแต่เล็กๆ ให้เขารู้ถูกผิด รู้วิธีการใช้ชีวิตให้เป็น ให้มีทั้งความรู้วิชาการและความรู้ในการดำรงชีวิตด้วย และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรปลูกฝังตั้งแต่เล็กๆ เพื่อให้เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีงามในอนาคต ไม่ใช่ว่าโตแล้วจะแก้ไม่ได้  แต่บ่มเพาะยากกว่าเด็กเท่านั้น

4. Q: ถ้าโลกนี้ไม่มีศาสนา คุณจะใช้หลักการใดในการดำเนินชีวิต เพราะอะไร
     A: หลักการที่เราจะใช้ในการดำเนินชีวิต คือ ความดีงามและความถูกต้อง เพราะสิ่งเเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะไม่ให้ชีวิตของเราหลงทิศ และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่สิ่งดีๆอื่นๆตามมา  ๆม่ว่าจะเป็นความมีน้ำใจ ความขยันหมั่นเพียร การยับยั้งชั่งใจไม่ให้ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ฯลฯ ล้วนมีพื้นฐานมาจากความดีงามและความถูกต้องทั้งสิ้น
  และที่สำคัญ ความดีงามและความถูกต้องเป็นคุณธรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของ "มนูษย์" ที่สามารถฝึกตัวเองได้ ทำสิ่งที่ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ และไม่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ถูกใจได้

5. Q: อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนชอบปล่อยข่าวลือ และทำไมคนมักเชื่อข่าวลือ
    A: เราคิดว่า ที่คนชอบปล่อยข่าวลืมนั้นเกิดจากความไม่รู้ เพราะก่อนที่เขาจะปล่อยข่าวลือได้นั้น เขาก็อาจจะต้องเชื่อหรือไม่เชื่อข่าวลือนั้นก่อน  แต่ในเมื่อเขารับข่าวสารนั้นมาแล้ว สิ่งสำคัญที่ทำให้เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาปล่อยข่าวลืม คือ ความขาดสติ เพรฃถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา เราจะไม่เผลอไปทำอะไรที่ที่ไม่สมควรทำ เช่น การปล่อยข่าวลือ หรือแม้ขณะที่เราจะทำ เราก็ย้งห้ามตัวเองได้ สติจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยเช็คการกระทำของเรา
        และสาเหตุที่คนมักเชื่อข่าวลือ ก็เพราะความขาดสติอีกนั่นแหละ เพราะหากเรามีสติ เราจะทักท้วงได้ก่อนว่า เอ๊ะ ข่าวนี่มาจากไหน มันจริงหรือเปล่า เราจะไม่ปักใจเชื่อไปในทักที แต่จะหัดตั้งคำถามกับข้อมูลที่ได้มาก่อน

 ซึ่งเราจะมี สติ ได้  ต้อง"ฝึก"บ่อยๆนะคร้าบบบบบ ถ้าเราทำเหตุให้ดี ผลมันจะแปรผันไปตามเหตุเองคร้าบบบบ สู้ๆ


Part 2 : ตั้งคำถาม หาคำตอบด้วยตัวเอง

1. Q: ตัว "ฬ" ประกอบด้วยรูปทรงหรือเส้นอะไรบ้าง
    A: วงกลม  สามเหลี่ยมมุมฉาก เส้นตรง เส้นโค้ง สามเหลี่ยมด้านไม่เท่า และอื่นๆแล้วแต่จะจินตนาการ

2. Q: มีอะไรในชีวิตประจำวันของเรา ที่มีลักษณธคล้ายตัว "ฬ" บ้าง
    A: งู (นึกถึงตอนมันเลื้อยเป็นรูปนี้) ต้นไม้ ซึ่งอาจจะมีรูปร่างที่นอกเหนือไปจากนี้ด้วย เพราะต้นไม้มีรูปร่างอิสระ   บ้าน ถ้าเราลองลากเส้นดีๆ จะรู้ว่ามันคล้ายนะ

3.Q:  ถ้าตัว "ฬ" มันเป็นรูปธรรม จับต้องได้เหมือนกล่อง เราจะเอาไปทำอะไรได้บ้างน้า~
    A:  เอาไปตักน้ำ เอาเลื่อยหรือเจาะรู เอาไว้นั่ง เอาไว้เป็นเชือก ฯลฯ สารพัด!! ไปคิดต่อเองได้นะคะ

4. Q: ถ้าไม่มี ตัว "ฬ" ในโลกนี้ขึ้นมา จะเป็นอย่างไรน้า~
     A: จะไม่มีว่าวจุฬา ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของตัวอัษรไทยจะหายไป จะไม่มีคำว่า "กีฬา" ...

5.Q: ถ้าตัว "ฬ" มีชีวิตขึ้นมา อยากให้มันทำอะไรเป็นอย่างแรกกก
    A: อยากให้มันขยับได้ก่อน... เพราะเป็นสิ่งที่แสดงว่ามันมีชีวิต... << ข้อนี้อาจจะตอบกวนไปนิดหนึ่ง ถ้ากระทบความรู้สึกใครก็ขออภัยด้วยค่ะ...


จบการสอบของเราแล้วจ้า!!  ใครอยากเอาไปทุฃำต่อ คิดเองทำเอง ไม่ว่ากัน ตามสบายจ้า!!!

วันนี้ก็ลาไปก่อน สวัสดีคร้าบบบ

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

The Story of HAPPINESS



The Story of HAPPINESS
เป็นความจริงใช่ไหม ที่ทุกๆคนในโลกอยากมีความสุขด้วยกันทั้งนั้น (ใครอยากค้านโปรดยกมือขึ้น)
เอ้า ทีนี้ลองสังเกตดูสิ ว่าส่วนใหญ่แล้ว อะไรที่ทำให้เรามีความสุข คิดมาหลายๆอย่างเลยนะ
เวลาได้ดูทีวี? ได้โทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุด? ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ? ได้อะไรสักอย่างที่อยากได้ม๊ากกมากกกก ? ตอนนั้นเรามีความสุขสุดๆเลย ใช่ป่ะ?
บิงโก!!! เห็นยังๆๆ เราต้อง “ได้” ของที่อยากได้ สิ่งที่อยากได้มาก่อนใช่มั๊ย มันถึงจะมีความสุข  ถ้าอย่างนั้นความสุขมันก็ไม่ได้อยู่ที่ “ของ” อันนั้นสิ เพราะถ้าความสุขมันอยู่ที่ “ของ” จริงๆน่ะ แค่เราเห็นมัน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม หรือจะเห็นอีกสักกี่ครั้ง  แม้ว่าเราจะยังไม่ได้เป็นเจ้าของมัน เราก็ควรจะมีความสุขได้ทุกครั้งเหมือนเป็นโปรแกรมเลยสิ จริงไหม?
ความจริงแล้ว ความสุขไม่ได้อยู่ที่ตัว “วัตถุ” หรอก แต่เรามีความสุขได้ เพราะ “วัตถุ”นั้น มันมาตอบสนอง “สัญลักษณ์” ที่อยู่ลึกๆข้างในจิตใจของเราไงล่ะ
“สัญลักษณ์” ที่ว่า เมื่อมีสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้ว เราจะดูอินเทรนด์ ทุกคนจะยอมรับเรา พอได้มันมาแล้วมันก็ตอบสนองความอยากๆๆของฉัน อยากเล่น อยากคุย อยากแชต ฯลฯ  มันต้องเป็นอย่างที่เราหวังลึกๆอยู่ในใจก่อนใช่มั๊ย มันถึงจะมีความสุข
(ซึ่งแน่นอนว่า “สัญลักษณ์”  ที่แต่ละคนหวังอยู่ในใจคงไม่เหมือนกันเปี๊ยบอยู่แล้ว แต่ละคนจะแตกต่างกันไป)
เพราะฉะนั้น เห็นหรือยังว่าคนเราจะมีความสุขได้ ไม่ได้อยู่ที่ “วัตถุ” เป็นตัวสำคัญ แต่อยู่ที่ “ใจ” ของเราต่างหาก
จะยกตัวอย่างให้ฟังละกันนะ ว่าทำไมความสุขมันถึงอยู่ที่ “ใจ”
สมมติว่า เราไปเดินเที่ยวกับเพื่อน  ๆ ผ่านร้านขายขนม เพื่อน A บอกว่า “โห ขนมนี้น่ากินจังเลย ขอซื้อก่อนนะ” เพื่อน B ก็เห็นขนมนั้นเหมือนกันนะ หิวเหมือนกันด้วย แต่ไม่ได้สนใจคิดจะซื้อเลย
เป็นเพราะอะไร? ทั้งๆที่เหตุการณ์เดียวกัน แต่คนเรากลับตอบสนองต่างกัน? ... มันเป็นเพราะจิตใจของแต่ละคนมีพื้นไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ทั้งสุข ทั้งทุกข์ หรืออะไรก็ตาม มันจะขึ้นอยู่กับ “จิตใจ” ของเรา ว่าจะตอบสนองอย่างไรต่อสิ่งนั้น 
คราวนี้ ในเมื่อความสุขมันอยู่ที่ ใจ ของเราแล้ว ทำไมเราไม่ลองหาความสุขจากอะไรที่มันใกล้ๆตัวบ้างล่ะ หลังจากที่หาความสุขจากของไกลตัวมามากแล้ว ... ลองหาความสุขจากอะไรใกล้ๆตัวดูบ้างนะ เช่น ลองไปเล่นกับหมาที่เลี้ยงไว้บ้าง ทำงานศิลปะเปิดเพลงฟังเบาๆบ้าง คุยเล่นกับพ่อแม่พี่น้องบ้าง นอนเอกเขนกตามสบายที่สวนสาธารณะใกล้ๆบ้านบ้าง... หาอะไรง่ายๆ ที่ตัวเองทำแล้ว ไม่เบื่อ ทำแล้วมีความสุข บางทีทำไปเราอาจจะมีความสุขมากกว่าตอนที่ได้ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดอีกนะ ลองสังเกตดู บางทีอาจจะรู้สึกว่า
“เออ มันก็มีอะไรให้ทำตั้งเยอะแยะนี่นา สนุกด้วย ทำแทบไม่ทันเลย”
ให้เราลองหาความสุขง่ายๆใกล้ๆตัวทำดูบ้าง เราจะพบว่าความสุขมันเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่เราคิดนะ ไม่ต้องรอให้ได้นู่นได้นี่มาก่อน ปลายทางเมื่อได้มันมาแล้ว เราอาจจะมีความสุขก็จริง แต่ระหว่างทางที่วิ่งตามหามันน่ะ เหนื่อยไหม?? หนูว่าเหนื่อยนะ ไม่ได้มาก็ทุกข์อีก “อะไร ชั้นอุตสาห์ต่อคิวตั้งนาน กลับไม่ได้ซะนี่!!!!><
แต่ความสุขที่เราสร้างขึ้นเองง่ายๆใกล้ๆตัว เชื่อเถอะว่าถ้าเป็นสิ่งที่เรารักจริงนะ เราไม่ต้องรอความสุขตอนที่มันเสร็จสำเร็จหรอก แค่ตั้งแต่เตรียมการ ไปจนถึงระหว่างทำมันให้สำเร็จ เราก็มีความสุขแล้ว
ถ้าเราหัดมองหาความสุขใกล้ๆตัวบ่อยๆ เราจะมีความสุขได้มากขึ้น ง่ายขึ้น เป็นคนที่ “สุขง่าย ทุกข์ยาก”
ลองเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่วันนี้เลย ไม่ต้องเดี๋ยวหรอก แล้วความสุขมันจะบินมาหาเราเองแหละ!!!

Warning อย่าลืมนะว่า เราไม่สามารถมีความสุขได้ตลอดเวลาหรอก เพราะชีวิตมันก็ต้องมีทุกข์ มีความเบื่อ มีอะไร หลายๆอย่างผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเติมเต็มรสชาติของชีวิตอยู่แล้ว  ดังนั้นจงอย่าไปยึดติดกับความสุข แต่ให้เราสร้างเหตุของความสุขให้มากที่สุด ส่วนเวลาที่เราไม่มีความสุข มีคาถาหนึ่งที่ช่วยได้ เป็นคาถาจากนิทานเรื่อง “กษัตริย์โซโลมอน”นะ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ท่องคาถานี้ไว้
“ ... แล้วมันก็ผ่านไป ...”

Say HI!!!!

สวัสดีจ้า !!! เพื่อนๆทุกคน
ก่อนที่จะไปอ่านเรื่อง เรามาทำความรู้จักกันก่อนดีมั๊ย ><
 
  บล็อกนี้ตั้งใจจะให้เป็นบล็อกสบายๆ แต่ก็มีเนื้อหาสาระอยู่พอควรเหมือนกันนะ เราจะลงบทความที่เราเขียนเอง แล้วมีภาพสีน้ำประกอบด้วย  เพื่อนๆอ่านแล้วก็ลองคอมเมนต์มาได้นะ ไม่ว่ากัน อยากให้แก้ อยากให้เพิ่ม อยากให้ลงเรื่องไหนก็คอมเมนต์มาได้เลย เรายินดีทำให้ (ตามความสามารถของสมองอันน้อยนิดที่มี ^^ )
 อ้อๆๆๆ แต่คอมเมนต์น่ะ ขออย่างเดียวว่าอย่าพิมพ์หยาบคายหรืออะไรมาเลยนะ จะขอบคุณมากๆเลย ><
 
ทีนี้พร้อมหรือยังล่ะ ?? ที่จะไปเที่ยวในบล็อกของเรา
 
 
พร้อมแล้วก็ติดเครื่องไปโลดดดดดดด