YOH !

YOH!!! ขอให้อ่านให้สนุกน้า

อย่าลืมเมนท์ด้วยเน้อออ >3<

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

Some thought of mine

  ช่วงก่อนสอบ คุณครูวิทิตได้ให้บทความหนึ่งมาอ่านและให้เขียนแสดงความคิดเห็นต่อบทความนั้น แต่ด้วยความที่ยุ่งกับงานสอบและเตรียมงานนิทรรศการปลายภาค บวกกับความขี้เกียจตอนปิดเทอมที่อยากจะนอนตีพุงไปเรื่อยเปื่อยบ้าง จึงยังไม่ได้หยิบบทความนั้นขึ้นมาอ่านซักที
จนวันหนึ่ง(เมื่อไม่นานมานี้) นึกขึ้นได้จึงลุกขึ้นมาอ่านบทความ และเขียนวิเคราะห์บทความด้วย ยอมรับว่าเป็นบทความที่เขียนวิเคราะห์ยากมากกกก นั่งทำนานที่สุดเท่าที่เคยทำมา ทำไปปวดหัวไป  ก่ายหน้าผากไป กินขนมไป (เฮ้ย!! ไม่ใช่ล่ะ!!) แต่ในที่สุดก็เสร็จแล้ว และออกมาสู่สายตาประชาชนเสียที
 ทีแรกไม่ได้คิดจะเอาบทความนี้ลงบล็อก แต่คุณครูหยก ซึ่งได้อ่านบทความนี้ ได้บอกว่าเอาลงด้วยก็ดี เราก็ยังไม่ค่อยอยากเอาลง ในที่สุดเมื่อหาเหตุผลมาอ้างไม่ได้ บวกกับไม่รู้ว่าจะไม่ยอมเอาลงทำไมน้า~
ในที่สุดก็เอาลงบล็อก...
เชิญชมได้แล้วครับ !! (ขอเสียงปรบมือด้วยนะคะ 555 +)

ป.ล. ขอขอบพระคุณคุณครูวิทิต ที่เมตตาให้โอกาสให้เขียนบทความนี้
        ขอขอบพระคุณพระอาจารย์ชยสาโร คุณพ่อคุณแม่ และคุณครูทุกๆท่านที่ได้บ่มเพาะขัดเกลามาตั้งแต่เด็กจนโต
        ทำให้บทความนี้สำเร็จลงด้วยดี(มั้ง)
        ขอขอบพระคุณโรงเรียนทอสีและปัญญาประทีป ที่เป็นต้นทุนชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของเรา
        ขอขอบคุณเพื่อนๆน้องๆพี่ๆญาติๆ ที่เป็นกำลังใจ อยู่กับเราตลอดเวลาทั้งสุขและทุกข์ มำให้ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ซึ่งเป็น
        ข้อมูลดิบที่สำคัญสำหรับบทความนี้..
                               ขอบคุณอย่างแรงค่ะ!!!



บทวิเคราะห์บทความ "คุณธรรมนำไทยให้ล่มจม"
จากที่ได้อ่านบทความนี้แล้ว เห็นด้วยในบางประเด็น แต่ก็ไม่เห็นด้วยในหลายๆ ประเด็นเช่นกัน ซึ่งงานวิเคราะห์ชิ้นนี้จะไม่ใช่งานตัดสินว่าใครถูกใครผิด แต่เป็นการเขียนแสดงทรรศนะตามความเห็นของข้าพเจ้า ในฐานะเด็กคนหนึ่งและในฐานะผู้ที่เคยไปสัมผัสเครือข่ายคนกินข้าวแล้วเท่านั้น
ในประเด็นแรก ข้าพเจ้ามีความเห็นโดยภาพรวมต่อบทความนี้ว่า เป็นบทความหนึ่งที่เหมือนบทความทั่วๆไป คือ แสดงทรรศนะความเห็นของตนต่อประเด็นต่างๆ ซึ่งไม่ผิด คนเราไม่มีใครคิดได้เหมือนกันอยู่แล้ว ต่างฝ่ายต่างก็มีความเห็นของตนและสามารถแสดงออกมาได้ภายใต้กรอบที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย คือ การเขียนแสดงความคิดของตนนั้น  ไม่ควรใช้ถ้อยคำหยาบคายและรุนแรง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลย เราสามารถเลือกใช้ถ้อยคำอื่นที่สามารถแสดงความคิดของตนได้ มากกว่าผสมคำที่ไม่เหมาะสมลงไปในบทความด้วย และเรามีสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วยได้ แต่ยังไม่จำเป็นต้องว่าหรือตัดสินตามความคิดของตน
ในประเด็นต่อมา ข้าพเจ้าคิดว่าปัญหาความยากจน ไม่ว่าจะเป็นของชาวนา หรือ ของใครก็ตาม ทางออกไม่ได้อยู่ที่การมี  เงินเยอะๆ แต่มันอยู่ที่ว่า เรามีความรู้จักพอหรือเปล่า เพราะตราบใดที่เรามีเงินเยอะแล้ว แต่เราไม่รู้จักคำว่าพอสักที เราก็ยังคงจนไม่รู้จบ เช่น เศรษฐีเงินล้าน เขามีเงินเยอะนะ แต่เขาไม่รู้จักพอ คนอื่นมองว่าเขารวย แต่เขาก็ยังคิดว่าเขาจนอยู่ดี เพราะเขาอยากๆๆๆๆๆๆๆ มีเท่าไหร่มันก็ไม่พอกับความต้องการของเขา และอีกประเด็นที่อยากจะชวนคิด คือ เงิน มันเป็นทุกอย่างของชีวิตจริงหรือ จริงอยู่ที่ทุกวันนี้เราขาดเงินไม่ได้แน่นอน เพราะวัตถุทุกอย่างมันก็ต้องใช้เงินซื้ออยู่แล้ว แต่มันมีอะไรรับประกันได้ละว่า ถ้าคุณมีเงินเพื่อมาซื้อสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้ว คุณจะมีความสุข??  เราไม่ได้ต้องการเงินหรอก แต่เราต้องการเงินเพื่อที่จะไปซื้อวัตถุมา เพื่อให้เกิด ความสุขต่างหาก ลองคิดดูว่ามีอะไรบ้างที่เงินซื้อไม่ได้ มันซื้อความสุขได้ไหม มันซื้อเวลาที่ผ่านไปได้หรือเปล่า มันซื้อความรักได้ไหม ถ้าซื้อได้ มันอยู่กับเราไปตลอดรึเปล่า??  ถ้าเราคิดดีๆ เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ทำไมบางครอบครัว ยากจน”(ในความหมายทั่วๆไป) แต่เขาก็ยังรักกัน มีความสุขดี แม้ว่าเขาจะจนเงินทองก็ตาม? ความจริงแล้วในโลกนี้มันยังมีอะไรที่สำคัญกว่าเงินมากมายนัก เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
ในเมื่อเงินไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต ทุนนิยมก็ไม่ใช่ทางออกของปัญหา  จะมีปะโยชน์อะไรถ้าเราแข่งขันกับคนอื่น แต่ปลายทางหรือแม้แต่ระหว่างทางที่ทำ เรากลับไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย
 คราวนี้ถ้าย้อนกลับมาดูชาวนาของเรา จริงอยู่ที่เราเห็นภาพชาวนาส่วนใหญ่ในประเทศยากจน  เป็นหนี้ไม่จบสิ้น แล้วทำไมเขาถึงยากจนล่ะ?? เพราะราคาของต่างๆที่เขาซื้อมาเพื่อบำรุงนามันแพงใช่ไหม แล้วของเหล่านั้นมันจำเป็นจริงหรือเปล่า ทำไมเราต้องซื้อมันมา เมื่อก่อนเราต้องซื้อหรือเปล่า มันมีทางอื่นไหมที่เราทำได้นอกจากซื้อๆๆๆๆของเหล่านี้ เคยมีใครตั้งคำถามเหล่านี้ไหม? ความจริงของเหล่านี้มันไม่จำเป็นเลย ถ้าไม่ใช่ว่าเราเป็นชาวนาที่ต้องพึ่งตลาด คิดดูว่าเราปลูกข้าวซึ่งเป็นอาหารที่เรากินอยู่ทุกวัน แต่ทำไมเราปลูกตามความต้องการของเราไม่ได้ล่ะ?? เราต้องปลูกตามตลาด ตลาดต้องการอย่างไร เราก็ปลูกไปตามนั้น ยิ่งตลาดต้องการมาก เราก็ยิ่งต้องปลูกมาก  ใช้ปุ๋ยใช้เครื่องจักรอะไรต่างๆเพิ่มขึ้น เงินไม่พอต้องไปกู้ไม่จบสิ้น สุดท้ายไม่ใช่เสียแค่เรา แต่มันรวนทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ตัวชาวนาที่เป็นหนี้ ผู้บริโภคก็เสียไปด้วยเพราะกินข้าวที่โตด้วยสารพิษเพื่อเร่งผลิตให้ทัน สุดท้ายมันก็กระทบไปถึงระบบนิเวศ เราใส่ปุ๋ยใส่ยา ฆ่ากุ้งหอยปูปลามากเท่าไหร่  แทนที่ที่นั้นๆจะอุดมสมบูรณ์ขึ้น พื้นที่นั้นก็เสียไปด้วยเพราะได้รับสารเคมี ดินแห้ง พืชผักตายเกลี้ยง ฯลฯ แล้วจะทำนาได้อย่างไร ในเมื่อพื้นที่เป็นเช่นนี้
เวลามองอะไรให้มองยาวๆ บางทีมองสั้นๆมันดูดี แต่ถ้ามองยาวๆ โอ้โห!! มันผิดกันลิบลับเลย
สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากแบ่งปันจากการได้ไปสัมผัสระหว่างไปเข้าค่ายของเครือข่ายคนกินข้าว ทั้งค่ายดำนาและค่ายเกี่ยวข้าว  คือ ชาวนาเหล่านั้นก็เหมือนชาวนาทั่วๆไป บ้านก็ไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่ามากนัก แต่ในพื้นที่นั้นที่เป็นนาข้าวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา  เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ ต้นข้าวทุกต้นดูมีชีวิตชีวาไม่เหี่ยวแห้ง ท่ามกลางพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางนิเวศ และที่สำคัญ คือ เป็นพื้นที่ของชาวนาที่เต็มไปด้วยความสุขจริงๆ  เขาทำนาเพราะรักที่จะทำ ทำด้วยความสุข ไม่ได้ทำเพราะจำใจทำแต่อย่างใด  ทั้งสองค่ายนี้อาตุ๊หล่างและพ่อถาจะเป็นผู้นำสอนพวกเราชาวค่ายให้เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวนา ทั้งดำนา รู้จักสมุนไพรต่างๆ  ในค่ายแรก และในค่ายที่สอง พวกเราได้หัดเกี่ยวข้าวและคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวอีกด้วย ซี่งประสบการณ์จากทั้งสองค่ายของข้าพเจ้านั้น เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าอาชีพชาวนาไม่ใช่อาชีพต่ำต้อย แต่เป็นอาชีพที่ควรคารวะ การทำนาไม่ใช่ธุรกิจ แต่เป็นการทำนาเพื่อเอานา ทำเพราะรัก ทำเพราะอยากทำ ทำเพราะรู้ซึ้งถึงคุณค่าจริงๆ  การทำนาคือความสุข คือชีวิต และผืนนาคือบ้าน
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มั่งคั่งเรื่องเงินทอง แต่เขามั่งคั่งเรื่องอาหารซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องเงินทองเสียอีก ข้าวก็ได้จากนาของเขา พืชผัก ปลา ก็มาจากบริเวณบ้าน  เขามีทุกอย่าง พึ่งตัวเองได้อย่างไม่เดือดร้อน และที่สำคัญคือ เขามีความสุข
ดังนั้น ในความคิดของข้าพเจ้า วิถีของชาวนาที่นี่ไม่ได้จนเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะจนเงินทองในสายตาของคนทั่วๆไป แต่สำหรับข้าพเจ้า เขาไม่จนเรื่องของความสุข เรื่องของคุณธรรม มันเป็นวิถีที่คนอยู่อย่างเคารพเกื้อกูลต่อธรรมชาติ  เป็นวิถีที่แท้จริงของชาวนา วิถีที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน
เพราะอะไร เพราะแท้จริงแล้วบ้านของมนุษย์คือธรรมชาตินั่นเอง (ข้อความนี้คัดลอกจากข้อความของ ศ.นพ. ประเวศ วะสี)
ที่สำคัญ คือ เรื่องของคุณธรรม ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยังไม่ต้องพูดถึงชาวนาแต่ลองมองสังคมในปัจจุบันกันก่อน ที่มันมีปัญหาเป็นวงจรซ้ำเดิมไม่จบไม่สิ้นเพราะอะไร?? สาเหตุตื้นๆคือความโลภ ความโกรธ ความหลง ในตัวของคนเหล่านั้น แต่ลึกๆแล้วสาเหตุที่แท้จริงคือ ขาดคุณธรรม ต่อให้มีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากมาย ตามจับโจรผู้ร้ายได้หมด สุดท้ายมันก็แก้ที่ปลายเหตุอยู่ดี คือเอาเขาไปขังคุก แต่นิสัยเขาหายไหม แล้วถ้าเอาคนๆนี้ไปขังคุก เรื่องมันจะจบแค่ตรงนั้นหรือเปล่า แล้วจะไม่มีคนทำผิดอีกแล้วใช่ไหม? มันไม่ใช่ เพราะต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด คือ ขาดคุณธรรมลองยกตัวอย่างดูง่ายๆ ถ้าสมมติว่าเรากำลังอยากได้ของๆคนอื่น แต่เราห้ามการกระทำตัวเองไม่ให้ขโมยของๆเขาได้ นี่ก็ถือว่าเรามีคุณธรรมแล้วนะ แล้วคิดดู ถ้าเราห้ามตัวเองได้ไม่ให้คอรัปชั่นแม้ว่าคนอื่นจะทำก็เถอะ นี่ก็เป็นคุณธรรมเหมือนกัน
คุณธรรมจึงเป็นตัวสำคัญที่ทำให้ปัญหาทุกๆอย่างคลี่คลายลงไปได้ และเป็นสิ่งที่ทุกๆคนควรมี แม้กระทั่งชาวนา เพราะทุกๆอย่างล้วนเริ่มจากจุดเล็กๆ แล้วขยายสู่วงกว้างทั้งนั้น คุณธรรมของชาวนาก็เป็นจุดเล็กๆที่ว่านี้เช่นกัน
การจะทำอะไรสักอย่างให้ออกมาดีและบริสุทธิ์ จำต้องประกอบด้วยคุณธรรม เริ่มตั้งแต่คุณธรรมในตัวผู้ผลิตเอง   ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าหากชาวนามัวแต่เอาเวลาไปกินเหล้า ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคุณภาพชีวิตของตัวเอง ไม่รู้ว่าอะไรถูกผิด ควรไม่ควร แน่ใจหรือว่าเขาจะใส่ใจคุณภาพข้าวด้วย คราวนี้ มันก็กระทบทั้งตัวชาวนาและผู้บริโภคใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะทำอะไรให้มันดี ให้มันบริสุทธิ์ มันก็ต้องเริ่มที่เราพยายามทำให้ใจเราบริสุทธิ์ก่อน...
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมชาวนาต้องมีคุณธรรม และทำไมเราต้องมีคุณธรรม ซึ่งเป็นบทสรุปของทุกสิ่งทุกอย่าง
อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่าบทความนี้ไม่ได้ตัดสินว่าใครถูกผิด แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นตามทรรศนะของข้าพเจ้าเท่านั้น  ซึ่งก็หวังว่าท่านผู้อ่านคงได้รับประโยชน์จากบทความนี้บ้าง ไม่มากก็น้อย
 
ของแถมมมมมจ้า~
พระอาจารย์ชยสาโรได้ให้หลักการพูดไว้สี่ข้อ ดังนี้
1.เรื่องที่ไม่จริง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่พูด
2.เรื่องที่จริง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่พูด
3.เรื่องที่จริง เป็นประโยชน์ ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่พูด
4.เรื่องที่จริง เป็นประโยชน์ ถูกกาลเทศะ พูดได้ค่ะ !! (เย้ เงียบมาตั้งนาน)

สวัสดีมากๆค่ะ ><

1 ความคิดเห็น:

  1. เจ้เนิ้ด.. มันยาวมากอ้ะ
    จิงๆเค้ายังไม่ได้อ่านน้ะ..แต่เค้าจาเม้นไห้ละกัน :)

    ปอลอ. ยาวไม่พอ วิชาการอีก -3-

    ตอบลบ